


| เปิดตัวครั้งแรกในโลกพร้อมกันสองรุ่นกับ คาเยนน์ อิเล็กทริค และ คาเยนน์ เทอร์โบ อิเล็กทริคสมรรถนะระดับรถซูเปอร์สปอร์ต กำลังสูงสุด 850 กิโลวัตต์ (1,156 แรงม้า) อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ใน 2.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม.เดินทางคล่องตัวด้วยเทคโนโลยีการชาร์จเร็วสูงและประสิทธิภาพการบริหารจัดการพลังงานขั้นสูง รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 400 kW⁴ และระยะทางสูงสุด 642 กม. ตามมาตรฐาน WLTPยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วย Porsche Driver Experience หน้าจอ Flow Display และปรัชญาการออกแบบดิจิทัลแบบใหม่ของ Porsche Digital Interactionสามทางเลือกขุมพลัง เครื่องยนต์สันดาปและปลั๊กอินไฮบริดยังคงจำหน่ายควบคู่กับรุ่นพลังงานไฟฟ้า |
| เปิดตัว คาเยนน์ อิเล็กทริค พร้อมก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของปอร์เช่ ในฐานะเอสยูวีพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณของปอร์เช่เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วยกำลังสูงสุด 850 กิโลวัตต์ (1,156 แรงม้า) อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ใน 2.5 วินาที รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 400 kW⁴ และระยะทางวิ่งสูงสุด 642 กิโลเมตร โดยคาเยนน์ อิเล็กทริค เป็นรถในสายการผลิตของปอร์เช่ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ยังคงมีความอเนกประสงค์ ทั้งความคล่องตัวบนถนน ความมั่นใจในเส้นทางออฟโรด และความสบายเหนือระดับในทุกการเดินทางระยะไกล |
สตุ๊ทการ์ท.
คาเยนน์ เป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ปอร์เช่ได้ถ่ายทอดจิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ตเข้าสู่กลุ่มตลาดใหม่ โดยเอสยูวีสมรรถนะสูงรุ่นนี้สร้างความสำเร็จระดับโลกหลังการเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี 2002 วันนี้ ปอร์เช่พร้อมก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยคาเยนน์ อิเล็กทริค เอสยูวีสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
โอลิเวอร์ บลูเม (Oliver Blume) ประธานคณะกรรมการบริหาร ปอร์เช่ เอจี (Porsche AG) กล่าวว่า “คาเยนน์ อิเล็กทริค ถ่ายทอดสมรรถนะในมิติใหม่ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ต่อยอดจากบนสนามแข่ง ยนตรกรรมรุ่นนี้ยกระดับมาตรฐานของตลาดเอสยูวี ทั้งด้านสมรรถนะการขับขี่และประสิทธิภาพการชาร์จ อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าที่โดดเด่น ผสานการใช้งานจริงได้อย่างลงตัว ทั้งความสบายในระยะทางไกลและศักยภาพลุยออฟโรดอย่างมั่นใจ”
ในปี 2025 ยอดขายรถสปอร์ตของปอร์เช่ทั่วโลกกว่า 36% อยู่ในกลุ่มรถพลังงานไฟฟ้า ทำให้ปอร์เช่ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ที่พลิกสู่ยุคพลังงานไฟฟ้าได้รวดเร็วที่สุด คาเยนน์ อิเล็กทริคจึงเป็นก้าวสำคัญของความสำเร็จนี้ และเสริมความครบครันให้ตระกูลคาเยนน์ ด้วยตัวเลือกขุมพลังหลากหลาย ตั้งแต่เครื่องยนต์สันดาป ปลั๊กอินไฮบริด ไปจนถึงพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
สมรรถนะเทียบชั้นกับรถสปอร์ตสมรรถนะสูง พร้อมประสิทธิภาพการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ในระดับเดียวกับรถแข่งฟอร์มูล่า อี
คาเยนน์ อิเล็กทริค เปิดตัว 2 รุ่น ได้แก่ คาเยนน์ อิเล็กทริค (Cayenne Electric) และ คาเยนน์ เทอร์โบ อิเล็กทริค (Cayenne Turbo Electric) โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และระบบควบคุมการยึดเกาะแบบอิเล็กทรอนิกส์ Porsche Traction Management (ePTM)
คาเยนน์ เทอร์โบ ทำอัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ใน 2.5 วินาที และ 0–200 กม./ชม. ใน 7.4 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม. สมรรถนะที่เหนือระดับนี้มาจากระบบขับเคลื่อนที่พัฒนาใหม่ทั้งหมด ให้พละกำลังสูงสุด 850 กิโลวัตต์ (1,156 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุด 1,500 นิวตันเมตร เมื่อเปิดใช้งาน Launch Control มอเตอร์ไฟฟ้าบนเพลาหลังติดตั้งระบบหล่อเย็นด้วยน้ำมันโดยตรง ซึ่งต่อยอดจากเทคโนโลยีบนสนามแข่ง เพื่อรักษากำลังต่อเนื่องและประสิทธิภาพสูงสุด ในโหมดการขับขี่ปกติ คาเยนน์ เทอร์โบ มีกำลังสูงสุด 630 กิโลวัตต์ (857 แรงม้า) และสามารถเร่งกำลังเพิ่มได้อีก 130 กิโลวัตต์ (176 แรงม้า) เป็นเวลา 10 วินาทีด้วยฟังก์ชัน Push-to-Pass² ส่วนคาเยนน์ อิเล็กทริค มีพละกำลัง 300 กิโลวัตต์ (408 แรงม้า) ในโหมดปกติ และ 325 กิโลวัตต์ (442 แรงม้า) พร้อมแรงบิด 835 นิวตันเมตร โดยเมื่อใช้ Launch Control สามารถทำอัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ใน 4.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 230 กม./ชม.
คาเยนน์ อิเล็กทริค มอบประสิทธิภาพการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ที่เหนือกว่า ศักยภาพใกล้เคียงรถแข่งฟอร์มูล่า อี ด้วยกำลังการกู้พลังงานสูงสุด 600 กิโลวัตต์ ในการใช้งานจริง ระบบเบรกของคาเยนน์ อิเล็กทริค สามารถใช้การหน่วงความเร็วผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าได้มากถึง 97% ของสถานการณ์เบรกทั้งหมด ช่วยลดการทำงานของระบบเบรกอย่างมีประสิทธิภาพ และในรุ่นเทอร์โบยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเบรกเซรามิก Porsche Ceramic Composite Brake (PCCB) เพื่อเสริมสมรรถนะเพิ่มเติมได้อีกด้วย
ความอเนกประสงค์ของคาเยนน์ อิเล็กทริค มาจากระบบช่วงล่างที่พัฒนาใหม่สำหรับรองรับทุกสภาพการขับขี่ ทั้ง 2 รุ่นติดตั้งช่วงล่างถุงลม Adaptive Air Suspension พร้อมระบบ Porsche Active Suspension Management (PASM) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน คาเยนน์ เทอร์โบ มาพร้อมระบบ Porsche Torque Vectoring Plus (PTV Plus) เพื่อควบคุมการกระจายแรงบิดล้อหลังอย่างแม่นยำ ทั้ง 2 รุ่นสามารถติดตั้งระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังได้ โดยล้อหลังสามารถหมุนได้สูงสุด 5 องศา และเป็นครั้งแรกที่คาเยนน์ติดตั้งระบบช่วงล่าง Porsche Active Ride ในรุ่นสูงสุด โดยเป็นเทคโนโลยีในรถสปอร์ตซีดานของปอร์เช่ ที่จะช่วยลดการโคลงตัวของตัวรถ และช่วยให้รถมีเสถียรภาพ คล่องตัว และสะดวกสบายในทุกจังหวะการขับขี่
นวัตกรรมการชาร์จที่ล้ำสมัย รวดเร็ว เสถียร และไร้สาย
หัวใจสำคัญของ คาเยนน์ อิเล็กทริค คือแบตเตอรี่แรงดันสูงที่พัฒนาใหม่ขนาด 113 กิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมระบบระบายความร้อน 2 ด้านเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งทำให้คาเยนน์ อิเล็กทริค วิ่งได้ไกลสูงสุด 642 กิโลเมตร และรุ่นเทอร์โบวิ่งได้ไกลสูงสุด 623 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ด้วยเทคโนโลยี 800 โวลต์ คาเยนน์ อิเล็กทริคจึงรองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 390 กิโลวัตต์ และภายใต้เงื่อนไขเฉพาะสามารถรองรับได้ถึง 400 kW⁴ โดยระดับพลังงานแบตเตอรี่ (State of Charge) จาก 10% ถึง 80% สามารถเพิ่มขึ้นได้ภายในเวลาไม่ถึง 16 นาที¹ และสามารถเพิ่มพลังงานสำหรับระยะทาง 325 กิโลเมตรบนคาเยนน์ อิเล็กทริค หรือ 315 กิโลเมตรบนคาเยนน์ เทอร์โบ อิเล็กทริค ได้ในเพียง 10 นาที³ โดยฝ่ายพัฒนามุ่งยกระดับความเสถียรและความเร็วในการชาร์จให้เป็นหนึ่งในจุดเด่นของคาเยนน์รุ่นใหม่นี้
คาเยนน์ อิเล็กทริค ยังเป็นปอร์เช่รุ่นแรกที่รองรับระบบชาร์จแบบไร้สายเป็นอุปกรณ์เสริม โดยรองรับกำลังชาร์จสูงสุด 11 kW โดยเพียงนำรถจอดเหนือแท่นชาร์จบนพื้น ระบบ Porsche Wireless Charging จะเริ่มกระบวนการชาร์จโดยอัตโนมัติ
ดีไซน์ภายนอกใหม่ที่ล้ำสมัย แอโรไดนามิกที่เต็มประสิทธิภาพ และคงเอกลักษณ์ในแบบคาเยนน์
คาเยนน์ อิเล็กทริค ผสานสัดส่วนอันเป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่เข้ากับแนวทางการออกแบบใหม่ ไมเคิล เมาเออร์ (Michael Mauer) หัวหน้าฝ่ายออกแบบสไตล์ปอร์เช่ (Style Porsche) กล่าวว่า “คาเยนน์รุ่นใหม่นำเสนอจิตวิญญาณของปอร์เช่อย่างชัดเจน และสะท้อนความเป็นคาเยนน์ได้อย่างครบถ้วน เราต่อยอดจากองค์ประกอบที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน และรักษาเอกลักษณ์เฉพาะของเอสยูวีรุ่นนี้ไว้ครบถ้วน พร้อมต่อยอดสู่อนาคตด้วยมุมมองที่ทันสมัย” จุดเด่นสำคัญคือฝากระโปรงหน้าที่ต่ำลงและไฟหน้า Matrix LED ดีไซน์เรียวยิ่งขึ้น เส้นสายไฟหน้าใหม่ช่วยทำให้ตัวรถดูกว้างขึ้น พร้อมรวมฟังก์ชันไฟส่องสว่างทั้งหมดในโมดูลเดียวกัน ซุ้มล้อดีไซน์เด่นชัด และเส้นหลังคาไหลลู่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่ ยังคงถูกถ่ายทอดไว้อย่างครบถ้วน
มุมมองด้านข้างโดดเด่นด้วยประตูไร้กรอบและเส้นสายเฉียบคมบนพื้นผิวประตู สเกิร์ตด้านข้างออกแบบแบบ 3 มิติ เพื่อเพิ่มมิติที่ทรงพลัง โดยในคาเยนน์ อิเล็กทริคใช้สี Volcanic Grey Metallic และในคาเยนน์ เทอร์โบใช้สีดำเงา เพิ่มความหรูหรา การออกแบบโดยใช้สีแบบทูโทน ตัวครอบซุ้มล้อเฉพาะรุ่นช่วยเน้นการขับขี่แบบออฟโรด รายละเอียดด้านท้าย เช่น เส้นไฟท้ายทรงสามมิติเคลื่อนไหวได้ และสัญลักษณ์ปอร์เช่เรืองแสง สะท้อนแนวทางการออกแบบที่ล้ำสมัย ในรุ่นเทอร์โบยังเพิ่มความพิเศษด้วยองค์ประกอบสี Turbonite ทั้งสัญลักษณ์ปอร์เช่ ล้ออะลูมิเนียม และกรอบกระจกข้าง รวมถึงแถบไฟท้ายและตัวอักษรปอร์เช่ที่ตกแต่งด้วยโทนสีเดียวกัน
สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะเหนือระดับบนทุกเส้นทาง คาเยนน์ อิเล็กทริคมีชุดแต่งแบบ Off-Road ซึ่งปรับการออกแบบด้านหน้าใหม่เพื่อให้รองรับเส้นทางขรุขระ ทางชัน และพื้นผิวที่ท้าทายได้มั่นใจยิ่งขึ้น
คาเยนน์ อิเล็กทริคมาพร้อมค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.25 หนึ่งในค่าที่ดีที่สุดในกลุ่มเอสยูวี ช่วยเสริมทั้งระยะทางวิ่งและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ระบบ Porsche Active Aerodynamics (PAA) ปรับการจัดการแอโรไดนามิกตามสภาพการขับขี่และความเร็ว พร้อมเสริมเสถียรภาพด้วยแรงกดอากาศเพิ่มเติม โดยองค์ประกอบแอโรไดนามิกแบบแอคทีฟ ได้แก่ ช่องรับอากาศด้านหน้าที่ปรับเปิด-ปิดได้ สปอยเลอร์หลังคาแบบปรับองศาอัตโนมัติ และแผง aeroblades แบบแอคทีฟด้านท้ายของรุ่นเทอร์โบ ที่สามารถยืดออกเพื่อช่วยให้การไหลเวียนของอากาศดีขึ้น ส่งผลให้ระยะทางขับขี่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ความเร็วสูง และยังเสริมประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ด้วย Air Curtains ที่กันชนหน้า แผ่นใต้ท้องรถปิดเกือบเต็มพื้นที่ ล้อดีไซน์สำหรับแอโรไดนามิกแบบพิเศษ และดิฟฟิวเซอร์ท้าย ที่ช่วยลดแรงต้านลมและเพิ่มความประหยัดพลังงานในทุกการขับขี่
อีกระดับของความอเนกประสงค์ ความสะดวกสบาย และเอกลักษณ์เฉพาะตัว
คาเยนน์ อิเล็กทริค มีความยาวเพิ่มขึ้น 55 มิลลิเมตรจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาป โดยตัวถังใหม่มีความยาว 4,985 มิลลิเมตร กว้าง 1,980 มิลลิเมตร และสูง 1,674 มิลลิเมตร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากที่สุดจะอยู่ที่บริเวณฐานล้อ ซึ่งขยายเพิ่มขึ้นเกือบ 13 เซนติเมตร เป็น 3,023 มิลลิเมตร ทำให้มีพื้นที่วางขาด้านหลังกว้างขึ้นและเพิ่มความสบายให้ผู้โดยสารตอนหลัง โดยมีระบบเบาะหลังปรับไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมปรับรูปแบบได้ตั้งแต่รูปแบบที่เน้นความสะดวกสบายไปจนถึงขนสัมภาระ ความจุห้องเก็บสัมภาระตอนท้ายอยู่ที่ 781–1,588 ลิตร พร้อมพื้นที่เก็บของด้านหน้าเพิ่มอีก 90 ลิตร คาเยนน์ อิเล็กทริคใหม่ยังรองรับการลากจูงสูงสุดถึง 3.5 ตัน ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์เสริม
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Mood Modes ที่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้สอดรับอารมณ์และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยเมื่อเลือกโหมด ระบบจะปรับตำแหน่งเบาะ แสงสว่างภายใน อุณหภูมิ ระบบเสียง และรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอให้เข้ากันอย่างลงตัว หลังคาพาโนรามิกที่เลื่อเปิดปิดได้ มาพร้อมเทคโนโลยี Variable Light Control ซึ่งใช้คริสตัลเหลวควบคุมการโปร่งแสงด้วยระบบไฟฟ้า ให้ความโปร่งสบายภายในห้องโดยสาร พร้อมมีระบบทำความร้อนแบบใหม่ที่ให้ความอบอุ่นทั้งที่นั่งและพื้นผิวสัมผัสหลายตำแหน่ง เช่น ที่วางแขนและประตูด้านใน และบรรยากาศภายในห้องโดยสารยังยกระดับด้วยระบบไฟ Ambient แบบขยาย พร้อม Communication Light ที่สว่างต้อนรับเมื่อเปิดประตูและสื่อสารสถานะต่างๆ ของรถ เช่น สถานะการชาร์จพลังงาน
คาเยนน์ อิเล็กทริคใหม่ ยังนำเสนอระดับการปรับแต่งที่ครอบคลุมที่สุดเท่าที่เคยมีมาในตระกูลคาเยนน์ ลูกค้าสามารถเลือกสีตัวถังมาตรฐาน 13 สี ล้อดีไซน์เฉพาะ 9 แบบตั้งแต่ 20–22 นิ้ว ชุดตกแต่งภายใน 12 รูปแบบ พร้อมแพ็คเกจเสริมภายในสูงสุด 5 แบบ และแพ็คเกจตกแต่งเฉพาะจุดอีก 5 แบบ อีกทั้งยังรองรับการปรับแต่งขั้นสูงผ่าน Porsche Exclusive Manufaktur ทั้งสีตัวถังแบบ Paint to Sample และโปรแกรม Sonderwunsch เพื่อสร้างรถที่สะท้อนตัวตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่รายละเอียดเฉพาะทางจนถึงการออกแบบพิเศษแบบหนึ่งเดียวในโลกได้ตามความต้องการ
นอกจากนี้ Porsche Design ยังเพิ่มโปรแกรมนาฬิกาสั่งผลิตเฉพาะรุ่น ให้ครอบคลุมรถเอสยูวี ซึ่งทำให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของคาเยนน์สามารถออกแบบนาฬิกาที่จับคู่กับสีรถได้อย่างละเอียดในทุกองค์ประกอบ ผ่านโรงงานผลิตนาฬิกาของปอร์เช่ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Porsche Driver Experience จอแสดงผลใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในปอร์เช่
คาเยนน์ อิเล็กทริค ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลแบบเต็มรูปแบบ โดยหัวใจหลักของ Porsche Driver Experience รุ่นใหม่คือ Flow Display หน้าจอ OLED ทรงโค้งที่หลอมรวมเข้ากับคอนโซลกลางอย่างลงตัว พร้อมแบ่งสัดส่วนพื้นที่แสดงผลและพื้นที่ควบคุมอย่างชัดเจน ซึ่งทำงานร่วมกับมาตรวัดดิจิทัลแบบ OLED ขนาด 14.25 นิ้ว และหน้าจอผู้โดยสารขนาด 14.9 นิ้ว ที่มีให้เลือกเป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งทำให้พื้นที่แสดงผลในคาเยนน์ อิเล็กทริค มีพื้นที่จอแสดงผลใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในปอร์เช่ นอกจากนี้ คาเยนน์ อิเล็กทริคยังติดตั้งระบบ Head-Up Display พร้อมเทคโนโลยี AR เป็นครั้งแรก โดยสามารถฉายภาพเสมือนเทียบเท่าหน้าจอ 87 นิ้ว ที่ระยะ 10 เมตรจากตัวรถ หน้าจอทั้งหมดเชื่อมโยงกับการออกแบบภายในอย่างเป็นหนึ่งเดียว โดยปุ่มฟังก์ชันสำคัญ เช่น ระบบปรับอากาศและระดับเสียง ยังคงใช้งานรูปแบบอะนาล็อกเพื่อความแม่นยำ พร้อมทั้งยังมีพนักรองมือที่ออกแบบเฉพาะ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทั้งระบบดิจิทัลและอะนาล็อกได้อย่างมั่นใจ แม้ในช่วงการขับขี่ที่เร้าใจ
Porsche Digital Interaction เปิดโลกการใช้งานดิจิทัลด้วยความยืดหยุ่นและการปรับแต่งที่เฉพาะตัว วิดเจ็ตช่วยให้เข้าถึงฟังก์ชันที่ใช้บ่อยได้ทันที โดยฟีเจอร์ Themes ยังสามารถปรับโทนสีของหน้าจอทั้งหมดให้เป็นไปตามสไตล์ของผู้ใช้งาน ทั้งยังมี Porsche App Centre ซึ่งรองรับแอปพลิเคชันจากผู้พัฒนาภายนอก ทั้งด้านสตรีมมิ่งและเกมมิ่งเพื่อขยายประสบการณ์ดิจิทัลภายในห้องโดยสาร ระบบ Voice Pilot รุ่นใหม่ยังเข้าใจคำสั่งซับซ้อนหลายชั้นด้วยเทคโนโลยี AI ที่ระบุบริบทของผู้ใช้และโต้ตอบได้เหมือนการสนทนาจริง ช่วยให้การควบคุมระบบนำทางและการเข้าถึงข้อมูลออนไลน์เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น และ Porsche Digital Key ที่สามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอทช์ให้เป็นกุญแจดิจิทัล พร้อมแชร์การใช้งานให้ผู้ใช้คนอื่นได้สูงสุด 7 คน โดยเชื่อมต่อการใช้งานของผู้ขับขี่ให้เข้ากับโลกดิจิทัลได้อย่างไร้รอยต่อ
มาตรฐานใหม่บนเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า สามขุมพลังที่เดินหน้าสู่อนาคตไปจนถึงปี 2030
คาเยนน์ อิเล็กทริค จะเข้ามาเสริมความหลากหลายของระบบขับเคลื่อนของตระกูลคาเยนน์ และวางจำหน่ายควบคู่กับรุ่นปัจจุบันทั่วโลก แมทเธียส เบ็คเคอร์ (Matthias Becker) กรรมการบริหารฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า “การสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ลูกค้า คือสิ่งที่ปอร์เช่ให้ความสำคัญสูงสุด การยกระดับคาเยนน์สู่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า ทำให้เรายกระดับมาตรฐานไปอีกขั้น และกำหนดทิศทางใหม่ของปอร์เช่อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันเรายังเดินหน้าพัฒนาระบบเครื่องยนต์สันดาปและปลั๊กอินไฮบริดต่อเนื่องในระยะยาวไปอีกทศวรรษ กลยุทธ์นี้ยังครอบคลุมในทุกรุ่นของปอร์เช่ และทุกเซกเมนต์ของผลิตภัณฑ์ โดยลูกค้าจะมีตัวเลือกทั้งระบบไฟฟ้าล้วนและเครื่องยนต์สันดาปในทุกรุ่นของปอร์เช่ต่อไป”
1 เวลาโดยประมาณในการชาร์จแบบกระแสตรง (DC) ของคาเยนน์ ด้วยกำลังชาร์จสูงสุด ตั้งแต่ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 10% ถึง 80% ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (สถานีชาร์จแบบ CCS ที่มีกำลังไฟมากกว่า 390 kW, แรงดันไฟมากกว่า 850 V, กระแสไฟมากกว่า 520 A อุณหภูมิแบตเตอรี่ 15 °C ระดับพลังงานเริ่มต้น 9% และระยะทางคงเหลือน้อยกว่า 60 กม.)
2 ระดับพลังงานแบตเตอรี่และอุณหภูมิแบตเตอรี่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของฟังก์ชัน Push-to-Pass
3 ระยะทางที่คาเยนน์สามารถชาร์จเพิ่มได้ภายใน 10 นาทีด้วยการชาร์จแบบกระแสตรง (DC) ที่กำลังไฟสูงสุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (สถานีชาร์จแบบ CCS กำลังไฟมากกว่า 390 kW, แรงดันมากกว่า 850 V, กระแสไฟมากกว่า 520 A อุณหภูมิแบตเตอรี่ 15 °C ระดับพลังงานเริ่มต้น 9% และระยะทางคงเหลือน้อยกว่า 60 กม.) อ้างอิงจากอัตราการใช้พลังงาน WLTP ของรถที่ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานประเทศเยอรมนี
4 กำลังชาร์จของคาเยนน์ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ เมื่อใช้งานร่วมกับสถานีชาร์จแบบ CCS ที่มีกำลังมากกว่า 400 kW, แรงดันมากกว่า 850 V, กระแสไฟมากกว่า 520 A ระดับพลังงานแบตเตอรี่เริ่มต้น 45%–48% และอุณหภูมิแบตเตอรี่ 40 °C–42 °C กำลังชาร์จสูงสุดแบบกระแสตรง (DC) ตั้งแต่ระดับพลังงาน 10% ถึง 80% ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยอยู่ที่ 390 kW (สถานีชาร์จ CCS กำลังมากกว่า 390 kW, แรงดันมากกว่า 850 V, กระแสไฟมากกว่า 520 A อุณหภูมิแบตเตอรี่ 15 °C ระดับพลังงานเริ่มต้น 9% และระยะทางคงเหลือน้อยกว่า 60 กม.)
เกี่ยวกับปอร์เช่ ประเทศไทย
ปอร์เช่ ประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ อิมพอร์ต (AAS Auto Import Co., Ltd.) เป็นผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวของยนตรกรรมสปอร์ต ปอร์เช่ ในประเทศไทย ได้รับการแต่งตั้งจากโรงงานปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ปี 2536 แบรนด์ปอร์เช่ เป็นผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ตหรูชั้นนำจากเมือง สตุ๊ทการ์ท ประเทศเยอรมนี ซึ่งมีชื่อเสียงจากรุ่นในตำนานอย่าง 911, 718, Cayenne, Macan, Panamera และ Taycan ยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ที่เปิดตัวในปี 2562 และในปี 2567 ได้เปิดตัว Macan ยนตรกรรมสปอร์ตเอสยูวีพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของปอร์เช่
