





| เทคโนโลยีในปอร์เช่ 99X อิเล็กทริค ผสานอยู่ใน SUV รุ่นใหม่ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำมัน เพิ่มประสิทธิภาพและกำลังขับอย่างต่อเนื่องระบบกู้คืนพลังงานสมรรถนะสูงช่วยเพิ่มระยะทางและประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานระบบชาร์จเร็ว เพิ่มระยะทางได้มากกว่า 300 กิโลเมตรในเวลา 10 นาที |
| การเปิดตัวคาเยนน์ อิเล็กทริค ไม่ใช่เพียงการเพิ่มรุ่นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ตลาด แต่ยังเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีมอเตอร์สปอร์ตสู่รถสายการผลิตโดยปอร์เช่ โดยได้มีการใช้หลากหลายนวัตกรรมที่มีต้นแบบจากการแข่งขันฟอร์มูล่า อี ซึ่งปอร์เช่ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลกทั้งประเภททีมและผู้ผลิต โดยคาเยนน์ อิเล็กทริค ได้ตอกย้ำแนวทางสู่การขับเคลื่อนที่ยั่งยืนของปอร์เช่ ซึ่งไม่ได้เริ่มต้นที่กระดาษออกแบบ แต่เริ่มต้นบนสนามแข่งขันที่ท้าทายที่สุดของโลกมอเตอร์สปอร์ต |
สตุ๊ทการ์ท.
คาเยนน์ อิเล็กทริค (Cayenne Electric) ใหม่ ได้รับประโยชน์อย่างมากจากประสบการณ์ของปอร์เช่ในรายการฟอร์มูล่า อี โดยเทคโนโลยีหลายส่วนใน SUV ไฟฟ้ารุ่นนี้ พัฒนาต่อยอดจากปอร์เช่ 99X อิเล็กทริค และยกระดับมาตรฐานด้านประสิทธิภาพและสมรรถนะ โดยทั้ง 2 รุ่นได้ใช้ระบบระบายความร้อนมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยน้ำมันโดยตรง และมีกำลังการกู้คืนพลังงานสูงสุดถึง 600 กิโลวัตต์
ดร. ไมเคิล ชไตเนอร์ (Michael Steiner) สมาชิกคณะกรรมการบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาของปอร์เช่ กล่าวว่า “ฟอร์มูล่า อี คือห้องทดลองพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับโลกยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เราได้สะสมเทคนิคสำคัญจากสนามแข่งเพื่อนำมาต่อยอดในรถสปอร์ตที่ใช้งานบนท้องถนน คาเยนน์ อิเล็กทริคสะท้อนให้เห็นถึงความรวดเร็วของปอร์เช่ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของปอร์เช่ในรายการแข่งรถไฟฟ้าที่มีความสำคัญต่อการพัฒนารถสายการผลิต”
ฟลอเรียน โมดลิงเกอร์ (Florian Modlinger) ผู้อำนวยการโรงงานมอเตอร์สปอร์ตฟอร์มูล่า อี และหัวหน้าทีมแข่งโรงงานปอร์เช่ กล่าวเสริมว่า “ในการแข่งขันฟอร์มูล่า อี ประสิทธิภาพคือความต่างระหว่างชัยชนะและความพ่ายแพ้ หลักการนี้กำหนดทิศทางการพัฒนาคาเยนน์ อิเล็กทริค ซึ่งประสิทธิภาพไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในเรื่องของตัวรถเท่านั้น แต่รวมไปถึงแนวทางการทำงานในสนามแข่งที่คล่องตัว ทำให้ลดระยะเวลาในการพัฒนาและเร่งการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เร็วขึ้นได้อีกด้วย”
ทีมพัฒนามอเตอร์สปอร์ตและทีมผลิตของปอร์เช่ ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดที่โรงงานไวซัค (Weissach) โดยมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดการพัฒนานี้ สิ่งที่ผ่านการทดสอบในสนามแข่งกลายเป็นแรงบันดาลใจในการผลิตรถยนต์สายผลิต รวมถึงในบางครั้งรถแข่งก็เรียนรู้จากรถสายผลิตเช่นกัน หนึ่งในตัวอย่างเด่นชัด คือเทคโนโลยีการชาร์จ เพราะหัวชาร์จและช่องชาร์จของรถแข่ง 99X และรถสปอร์ตไฟฟ้าของปอร์เช่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกจุด โดยมีเทคโนโลยี CCS (Combined Charging System) เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งบนถนนและในการแข่งขันฟอร์มูล่า อี
ระบบระบายความร้อนโดยตรงเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและมอเตอร์ขนาดกะทัดรัด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่รถสายการผลิต คือระบบระบายความร้อนด้วยน้ำมันโดยตรง ระบบนี้จะส่งของเหลวที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษไประบายความร้อนให้กับทุกชิ้นส่วนที่มีกระแสไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างตรงจุด ส่งผลให้ประสิทธิภาพและความสามารถในการรักษากำลังขับต่อเนื่องเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ปอร์เช่ใช้เทคโนโลยีนี้ในการแข่งขันฟอร์มูล่า อี ตั้งแต่เริ่ม พร้อมยกระดับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มทดสอบระบบระบายความร้อนนี้บนสนามแข่งด้วยรถต้นแบบ GT4 e-Performance ตั้งแต่ปี 2023 โดยมีการนำเทคโนโลยีนี้เข้าสู่รถสายการผลิต โดยใช้กับมอเตอร์หลังของคาเยนน์ อิเล็กทริค ในรุ่นเรือธง
ในมอเตอร์ไฟฟ้าทั่วไป สารหล่อเย็นจะไหลผ่านรอบนอกของสเตเตอร์ แต่ระบบระบายความร้อนโดยตรงส่งสารหล่อเย็นไหลชิดไปตามลวดทองแดงผ่านร่องสเตเตอร์ ทำให้ระบายความร้อนได้ทันทีในจุดที่เกิดความร้อน หากต้องการให้มอเตอร์ที่ใช้การหล่อเย็นด้วยน้ำทั่วไปทำงานได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่า มอเตอร์จะต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นราว 1.5 เท่า การใช้ระบบระบายความร้อนโดยตรงทำให้คาเยนน์ อิเล็กทริคสามารถใช้มอเตอร์ที่มีขนาดกะทัดรัดขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงสุดถึง 98 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่รุ่นแข่ง 99X สามารถทำได้สูงกว่านั้น
ประสิทธิภาพการกู้คืนพลังงานสูงสุดระดับ 600 กิโลวัตต์
ระบบกู้คืนพลังงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของรถทั้งสองรุ่นเป็นอย่างมาก โดยจะดึงพลังงานขณะเบรกกลับมาเก็บในแบตเตอรี่เพื่อนำไปใช้ในการขับเคลื่อนต่อ ซึ่งทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้นและใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อสมรรถนะของทั้งรถสปอร์ตและรถแข่ง ในการแข่งขันฟอร์มูล่า อี มีการกำหนดความจุพลังงานที่รถสามารถใช้ไว้อย่างชัดเจน โดย 99X อิเล็กทริค เริ่มการแข่งขันได้ด้วยพลังงานสูงสุด 38.5 กิโลวัตต์ชั่วโมงในแบตเตอรี่ โดยหากรถสามารถกู้คืนพลังงานจากการเบรกได้มากกว่าคู่แข่ง จะทำให้รถมีพลังงานมากกว่าในการเร่งเข้าเส้นชัย
โมดลิงเกอร์ กล่าวว่า “การกู้คืนพลังงานขณะเบรก (Recuperation) เป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก ขณะเบรก เราต้องการกู้คืนพลังงานให้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการลดความเร็วอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อมีแรงเบรกเพิ่มขึ้น ระบบจะเสริมการทำงานของเบรกที่ล้อหน้าเข้าไปด้วย ซึ่งความสมดุลของรถต้องสอดคล้องกับการขับขี่ของนักแข่ง เพราะส่งผลต่อความมั่นใจและสมรรถนะในการขับขี่ และสำหรับรถที่ใช้งานบนถนน ความปลอดภัยคืออีกโจทย์สำคัญ เราจึงใช้ฟังก์ชันซอฟต์แวร์หลายชุดทำงานร่วมกันระหว่างเบรก ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถถ่ายทอดสู่รถยนต์สายผลิตได้”
คาเยนน์ อิเล็กทริค สามารถกู้คืนพลังงานสูงสุดได้ถึง 600 กิโลวัตต์ โดยขึ้นอยู่กับความเร็ว อุณหภูมิ และระดับพลังงานในแบตเตอรี่ ซึ่งเทียบเท่าค่าสูงสุดของ 99X อิเล็กทริค และยังคงทำงานเต็มประสิทธิภาพขณะขับขี่แบบไดนามิก ในการใช้งานประจำวัน การเบรกกว่า 97 เปอร์เซ็นต์เป็นการเบรกด้วยระบบไฟฟ้าโดยไม่ต้องพึ่งจานเบรกแบบกลไก โดยการกู้คืนพลังงานจะทำงานต่อเนื่องจนกว่ารถจะหยุดสนิท และระบบเบรกแบบเสียดทานที่เพลาหน้าและเพลาหลังจะทำงานเฉพาะเมื่อแรงหน่วงเกินขีดจำกัดของระบบของระบบกู้คืนพลังงานเท่านั้น โดยจะทำงานอย่างราบรื่นเพื่อไม่ให้ผู้ขับขี่รู้สึกถึงการเปลี่ยนผ่าน เป็นการผสานประสิทธิภาพและความสบายได้อย่างลงตัวด้วยแรงบันดาลใจจากมอเตอร์สปอร์ต
ระบบชาร์จเร็วและกระบวนการชาร์จที่ทนทาน
ในฤดูกาลที่ผ่านมา ฟอร์มูล่า อี เปิดตัวการชาร์จเร็วระหว่างพิตสต็อปที่เรียกว่า Pit Boost ซึ่งใช้เวลาชาร์จเพียง 30 วินาที ด้วยกำลังสูงสุด 600 กิโลวัตต์ เพื่อเพิ่มพลังงานแบตเตอรี่ประมาณ 10 เปอร์เซนต์ให้กับ 99X อิเล็กทริค ซึ่งใน คาเยนน์ อิเล็กทริค ได้ออกแบบให้รองรับการชาร์จแบบรวดเร็วเช่นกัน โดยใช้เวลาน้อยกว่า 16 นาทีในการชาร์จจากระดับแบตเตอรี่ 10 เปอร์เซ็นต์สู่ 80 เปอร์เซ็นต์
ความท้าทายด้านอุณหภูมิไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสนามแข่ง โดยการใช้งานประจำวันก็มีอุณหภูมิที่แปรผันเป็นอย่างมากเช่นกัน ปอร์เช่ได้ยึดแนวคิดว่าประสิทธิภาพในการชาร์จเร็วต้องทำได้สูงแม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย และต้องรักษาประสิทธิภาพสูงในทุกช่วงระดับแบตเตอรี่ ในคาเยนน์ อิเล็กทริคมีกำลังชาร์จ DC สูงสุดที่ 400 กิโลวัตต์ และเริ่มชาร์จเร็วได้ตั้งแต่อุณหภูมิแบตเตอรี่ 15 องศาเซลเซียส จนถึงระดับแบตเตอรี่ราว 55 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังรองรับกำลังชาร์จได้มากกว่า 350 กิโลวัตต์ แสดงให้เห็นถึงระบบการชาร์จเร็วที่มีความเสถียรและทนทาน โดยภายในเวลาเพียง 10 นาทีที่สถานีชาร์จที่รองรับ จะเพิ่มระยะทางกว่า 300 กิโลเมตรได้ทันที
การแข่งขันฟอร์มูล่า อี คือห้องทดลองและเวทีแสดงเทคโนโลยีการชาร์จเร็ว โมดลิงเกอร์ กล่าวว่า “นักแข่งได้ใช้ประสิทธิภาพของรถไปจนถึงขีดสุด บางครั้งในเมืองที่ร้อนจัดอย่างจาการ์ตา เมื่อเข้าพิตเพื่อชาร์จ อุณหภูมิของระบบจะสูงมาก และในขณะเดียวกันเราต้องการให้ระบบการระบายความร้อนทำงานน้อยที่สุด เพราะการระบายความร้อนใช้พลังงานเยอะและอาจเพิ่มน้ำหนักของรถได้ ดังนั้นระหว่าง Pit Boost เราได้แสดงให้เห็นว่าการจ่ายพลังงานด้วยกำลังสูงสุดภายใต้สภาวะสุดขั้วสามารถทำงานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ”
ในการแข่งขันฟอร์มูล่า อี ปอร์เช่ได้ลงทุนงบประมาณส่วนใหญ่ไปกับชิ้นส่วนที่มีความสำคัญต่อการใช้งานบนถนนจริง ซึ่งตามกฏในการแข่งขันชิ้นส่วนเหล่านี้จะต้องอยู่ภายใต้ตัวถัง โมดลิงเกอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความท้าทายทางด้านเทคนิคหลายอย่าง ไม่สามารถมองเห็นจากภายนอก แต่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และในหลายด้านก็คล้ายกับความท้าทายที่เราเผชิญในการพัฒนาบนรถสปอร์ตไฟฟ้าสำหรับถนนจริง”
เกี่ยวกับปอร์เช่ ประเทศไทย
ปอร์เช่ ประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท เอเอเอส ออโต้ อิมพอร์ต (AAS Auto Import Co., Ltd.) เป็นผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวของยนตรกรรมสปอร์ต ปอร์เช่ ในประเทศไทย ได้รับการแต่งตั้งจากโรงงานปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ปี 2536 แบรนด์ปอร์เช่ เป็นผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ตหรูชั้นนำจากเมือง สตุ๊ทการ์ท ประเทศเยอรมนี ซึ่งมีชื่อเสียงจากรุ่นในตำนานอย่าง 911, 718, Cayenne, Macan, Panamera และ Taycan ยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของแบรนด์ที่เปิดตัวในปี 2562 และในปี 2567 ได้เปิดตัว Macan ยนตรกรรมสปอร์ตเอสยูวีพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของปอร์เช่
ปัจจุบัน ปอร์เช่ ประเทศไทย มีโชว์รูมและศูนย์บริการเปิดให้บริการ 6 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ Porsche Centre Bangkok (บริหารงานโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด), Porsche Centre Pattanakarn (บริหารงานโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด), Porsche Centre Bangna (บริหารงานโดย บริษัท สตุทการ์ต ออโต้โมทีฟ (ประเทศไทย)), Porsche Centre Pattaya (บริหารงานโดย บริษัท ไซม์ ดาร์บี้ ออโต้ สปอร์ตส จำกัด), Porsche Store Bangkok ที่ศูนย์การค้า Emsphere (บริหารงานโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด), Porsche Studio Siam Paragon ชั้น 2 (บริหารงานโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด) และ Porsche Now Kanlapaphruek ที่กำลังจะเปิดตัวเป็น Porsche Centre Kanlapaphruek อย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ (บริหารงานโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด)
